เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Roots ยกบาร์กาแฟและทีมบาริสต้าเข้าร่วมอีเวนต์ Cafe Culture เป็นครั้งแรกที่ประเทศสิงคโปร์พร้อมกับแบรนด์เพื่อนบ้านอย่าง ROAST
เราเชื่อว่าการเดินทางของทีมครั้งนี้คือโอกาสอันดีในการนำกาแฟจากพี่น้องเกษตรกรไทยไปแนะนำให้เพื่อนๆ บาริสต้าและนักชิมกาแฟจากต่างประเทศรู้จัก
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Roots ยกบาร์กาแฟและทีมบาริสต้าเข้าร่วมอีเวนต์ Cafe Culture เป็นครั้งแรกที่ประเทศสิงคโปร์พร้อมกับแบรนด์เพื่อนบ้านอย่าง ROAST
พวกเราตื่นเต้นกันสุดๆ เพราะในงานเต็มไปด้วยร้านกาแฟระดับท็อปจากทั่วโลกที่ตบเท้ามาออกบูธในอีเวนต์กาแฟเดียวกัน ซึ่งร้านรวงที่ว่านั้นได้แก่ Coffee Collective จากเดนมาร์ก, St.Ali จากเมลเบิร์น, Switch Coffee จากโตเกียว นอกจากนี้ยังมีร้านขนมและร้านอาหารชื่อดังอย่าง KOI, Lune Croissanterie, และ Auction Room อยู่ในงานด้วย
เราเชื่อว่าการเดินทางของทีมครั้งนี้คือโอกาสอันดีในการนำกาแฟจากพี่น้องเกษตรกรไทยไปแนะนำให้เพื่อนๆ บาริสต้าและนักชิมกาแฟจากต่างประเทศรู้จัก หนึ่งสัปดาห์ที่เราใช้ชีวิตที่สิงคโปร์จะสนุกขนาดไหน และมีเรื่องอะไรเซอร์ไพรส์เราบ้าง ขยับเข้ามาใกล้ๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
วันแรกกับการเรียนวิชาสุขอนามัยแสนสนุก
จริงๆ แล้วอีเวนต์นี้กินเวลาเพียงแค่ 3 วัน แต่ทีมเราต้องแพลนเดินทางกันล่วงหน้าถึง 4 วัน เพราะก่อนจะได้รับอนุญาตให้ขายอาหารและเครื่องดื่มในสิงคโปร์ เราต้องเข้าคลาสและผ่านการทดสอบ food handling กับ food hygiene (การรักษาสุขอนามัยในการประกอบอาหาร) ตามมาตรฐานกันก่อน และแน่นอน ทุกคนที่เข้าร่วมอีเวนต์นี้ต้องเข้าคลาสและต้องผ่านบททดสอบเหมือนพวกเราด้วย
ที่ต้องเข้าคลาสจริงจังกันขนาดนี้เพราะว่า 10 ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนป่วยเพราะอาหารเป็นพิษจากการกินสตรีทฟู้ด ทางการของสิงคโปร์เลยต้องเข้มงวดกับการกวดขันความสะอาดของผู้ประกอบการอาหารนั่นเอง
ปกติเวลาไปคาเฟ่ เราดูแค่ความสะอาดของบาร์กาแฟเท่านั้น แต่หลังจากเข้าคลาสแล้วเราได้รู้ว่า วิธีการเช็คที่มั่นใจได้จริงๆ คือสังเกตการจัดการตู้เย็นของร้าน เช่น มีคราบสกปรกไหม วัตถุดิบระบุวันหมดอายุหรือเปล่า นอกจากระเบียบความสะอาดแล้ว สิงคโปร์ยังเข้มงวดกับการแยก food waste ของร้านอาหารด้วย อย่างตอนที่เราออกบูธกันอยู่ คุณป้าเจ้าหน้าที่เก็บขยะขยันเดินมาดูว่าพวกเราแยกขยะกันไหม ถ้าไม่ เขาจะตักเตือนเราทันที จบจากงานนี้เราคงต้องตระหนักกับการแยกกากกาแฟซึ่งเป็นของที่พวกเราทิ้งกันทุกวันให้มากขึ้นแล้ว
อีเวนต์กาแฟที่รวมรวบเฉพาะคาเฟ่ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ
เต้ โรดิโอตั้งข้อสังเกตว่า ทุกร้านรวงที่เข้าร่วมงานนี้มีจุดเด่นของตัวเองที่ชัดเจนและแข็งแรงมาก แม้ว่าทุกคนจะเปิดคาเฟ่ ทำโรงคั่วเหมือนกัน หรือมีหน้าร้านคล้ายกันก็ตาม แต่ในรายละเอียด ทุกร้านต่างนำเสนอ identity ตัวเองให้โดดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เช่น ร้าน Coffee Collective ที่หยิบไอศครีมซอฟต์เสิร์ฟรสกาแฟแสนอร่อยมาพรีเซนต์ หรือ St. Ali ได้พาบาริสต้าไอคอนอย่างคุณ Shin ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลาเต้อาร์ตมาประจำที่บาร์ อย่างทีม Roots เองก็นำเสนอกาแฟไทยในคอนเซปต์ cup to farm เชื่อว่าคนที่สนใจแบรนด์กาแฟคอนเซปต์เจ๋งๆ จะต้องหลงรักอีเวนต์นี้อย่างแน่นอน
วางแผนดีแค่ไหนก็ต้องเจอกับเรื่องไม่คาดคิด
ความพร้อมของทีมถือเป็นเรื่องที่พวกเราให้ความสำคัญมาก ถึงเราจะออกอีเวนต์กันมาเยอะ วางแผนไว้ค่อนข้างดีและมั่นใจว่าเราจัดการกับทุกอย่างได้ พอถึงหน้างานจริงๆ มันมักมีสิ่งที่เราคอนโทรลไม่ได้เกิดขึ้นเสมอ เช่น อุปกรณ์ที่เตรียมไปไม่พอใช้ หรือเรื่องสภาพน้ำของที่นู่นที่พอใช้ชงกาแฟแล้วทำให้กาแฟของเรารสชาติเปลี่ยน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้
อย่างอาร์ตเป็นคนรับผิดชอบในการทำไซรัปสำหรับเมนู orange tonic และ hoppy citrus เรื่องท้าทายของอาร์ตคือ วัตถุดิบหลักอย่างส้มและน้ำตาลที่เขาหาได้ในสิงคโปร์ มีความเปรี้ยวและหวานไม่เหมือนกับส้มและน้ำตาลในบ้านเรา สิ่งที่อาร์ตต้องทำคือการบาลานซ์รสชาติของมันให้ใกล้เคียงสแตนดาร์ดของเรามากที่สุด
“สิ่งที่ได้เรียนรู้จากงานนี้คือ เราต้องรู้จักคิดแผนสำรอง บางทีเราอาจจะต้องมีแผนที่สอง แผนที่สามด้วย เพื่อรองรับปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น” อาร์ตเล่า
รางวัลของความตั้งใจ
การออกบูธครั้งนี้ได้การตอบรับจากลูกค้าต่างชาติอย่างดีเกินคาด เช่น บางคนไม่เคยกินกาแฟไทยมาก่อนหรือไม่เคยรู้ว่าเมืองไทยปลูกกาแฟได้ พอได้มาลองชิมกาแฟที่บูธของเราก็ประทับใจ บางคนเดินเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการชงกาแฟให้กับพวกเราอย่างไม่กั๊กก็มี
ลูกค้าหลายคนบรรจงเขียนโปสการ์ดที่พวกเราพกติดมือไปด้วยเพื่อส่งข้อความให้กำลังใจพี่น้องเกษตรกร สิ่งนี้ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนดื่มกาแฟและคนปลูกกาแฟชัดเจนมากขึ้น แต่ละข้อความก็น่าประทับใจจนอยากส่งต่อให้พี่น้องเกษตรกรได้อ่านในเร็ววัน
Roots เป็นร้านกาแฟเพียงร้านเดียวในงานที่ใช้กาแฟไทยในการชง ถ้าเราชงออกมาไม่ดี คนอาจจะจดจำว่ากาแฟไทยไม่ดีก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นในการชงทุกแก้วพวกเราตั้งใจทำมันออกมาให้ดีเท่าที่จะดีได้ จนกระทั่งลูกค้าที่แวะมาบูธเราทุกวันกระซิบบอกเราว่า “you do the best” แค่ได้ยินคำเล็กๆ คำนี้ พวกเราหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย